การฟื้นตัวของความไม่ชอบหน้าสหรัฐอเมริกาทั่วโลก

(SeaPRwire) –   หากมองดูความนิยมของอเมริกาทั่วโลกตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง จะมีช่วงเวลาที่ตกต่ําอย่างมากถึงสองช่วงคือ การบุกครองอิรักในปี ค.ศ. 2003 และการเลือกตั้งของดอนัลด์ ทรัมป์ 13 ปีต่อมา

ทั้งสองเหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวข้องกัน คือแต่ละช่วงเวลาบ่งบอกถึงอเมริกาที่มีความรุนแรงและหยิ่งยโส มีความเกลียดชังต่างชาติและชาตินิยม มีแต่วิธีคิดของตนเอง

ทั้งสองเป็นรูปแบบของชาวอเมริกันที่ไม่น่าชอบในศตวรรษที่ 21

ระหว่างปี ค.ศ. 2017-2020 ในช่วงรัฐบาลของทรัมป์ ความนิยมของสหรัฐฯลดลงในแต่ละภูมิภาคหลักของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพันธมิตรด้านความมั่นคงและการค้า เราตกจากความนิยม 70% เหลือ 20-30%

ภายใต้การบริหารของโจ ไบเดน สหรัฐฯฟื้นฟูความเชื่อถือระหว่างประเทศได้มากขึ้นเหมือนสมัยประธานาธิบดีโอบามา โดยมีความนิยมเฉลี่ย 62% และในบางภูมิภาคความนิยมใกล้เคียงสมัยโอบามา

แต่ตอนนี้ด้วยการสนับสนุนของอเมริกาต่ออิสราเอลในสงครามกับฮามาส ความรู้สึกไม่ชอบอเมริกากําลังกลับมาอีกครั้งทั่วโลก

ในการปราศรัยหาเสียงเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่าอเมริกาและอิสราเอลกําลังสูญเสียการสนับสนุนจากนานาชาติ ส่วนสหประชาชาติลงมติให้ยุติความรุนแรงในกาซาโดยมีประเทศสนับสนุน 153 ประเทศ ต่อต้านเพียง 10 ประเทศ (หนึ่งในนั้นคือสหรัฐฯ)

เรากําลังเข้าสู่ฤดูกาลที่มีความไม่ชอบอเมริกาทั่วโลกอย่างยาวนาน

* * *

ความกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของอเมริกาทั่วโลกเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นชาติของเรา

ในปี ค.ศ. 1630 จอห์น วินธรอปได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงว่า “เมืองบนเขา” ขณะเดินทางมายังอาณานิคมแมสซาชูเซตส์ด้วยเรืออาราบีลลา – ก่อนที่เขาจะเดินทางมาถึงอเมริกา

ประโยคถัดมาคือ “สายตาของคนทั้งโลกมองอยู่ที่เรา”

วลีแรกในประกาศอิสรภาพของอเมริกา กล่าวถึงการแยกตัวจากอังกฤษต้องอธิบาย “เพื่อเคารพต่อความคิดเห็นของมวลมนุษยชาติ”

ผู้ก่อตั้งชาติให้ความสําคัญกับความคิดเห็นของมวลมนุษยชาติมาก ซึ่งปรากฏคําว่า “มวลมนุษยชาติ” ถึงสามครั้งในประกาศอิสรภาพ พวกเขาคิดถึงชื่อเสียง และการนําเสนอตัวเองต่อโลก อเมริกาเป็นทั้งโลกใหม่ที่ปฏิวัติ และเป็นแบบอย่างสําหรับโลกเก่า

ตั้งแต่ต้นเราก็มีความเป็นเนอร์ซิสซิสติกที่เชื่อว่า “สายตาของโลกมองอยู่ที่เรา”

ทุกประเทศมีความคิดแบบนี้ แต่ในกรณีของสหรัฐฯนั้นถือว่าจริงมากกว่าที่ใดที่หนึ่ง

ภาพลักษณ์ของอเมริกาต่อนานาชาติได้เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลา 250 ปีที่ผ่านมา จากชาติปฏิวัติที่ยิง “กระสุนที่สร้างความตกใจทั่วโลก” เป็นมหาอํานาจที่มีอิทธิพลทั่วโลก

เราเปลี่ยนจาก “เมืองบนเขา” เป็นประเทศที่ต่อสู้กับสงครามกลางเมืองเรื่องทาส และเป็นประเทศที่ทําให้โลก “ปลอดภัยสําหรับประชาธิปไตย” ตามคําพูดของวูดโรว์ วิลสัน

บทความนี้ให้บริการโดยผู้ให้บริการเนื้อหาภายนอก SeaPRwire (https://www.seaprwire.com/) ไม่ได้ให้การรับประกันหรือแถลงการณ์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้

หมวดหมู่: ข่าวสําคัญ ข่าวประจําวัน

SeaPRwire จัดส่งข่าวประชาสัมพันธ์สดให้กับบริษัทและสถาบัน โดยมียอดการเข้าถึงสื่อกว่า 6,500 แห่ง 86,000 บรรณาธิการและนักข่าว และเดสก์ท็อปอาชีพ 3.5 ล้านเครื่องทั่ว 90 ประเทศ SeaPRwire รองรับการเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เป็นภาษาอังกฤษ เกาหลี ญี่ปุ่น อาหรับ จีนตัวย่อ จีนตัวเต็ม เวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เยอรมัน รัสเซีย ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และภาษาอื่นๆ 

แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เราก็ถูกมองว่าเป็นชาติที่หยิ่งยโสและใช้กําลังมาก