สําหรับเด็กๆ ในสหรัฐอเมริกา ฤดูกาลเปิดเทอมจะก่อให้เกิดความรู้สึกผสมปนเป ทั้งความประทับใจต่อฤดูร้อนอีกฤดูกาลหนึ่งที่ผ่านไป ความตื่นเต้นที่จะได้พบเพื่อนๆ อีกครั้ง และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รวมถึงความประหม่าที่จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เป็นเวลาที่เด็กๆ จํานวนมากจะเลือกกระเป๋าใหม่ และมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ ขณะเริ่มต้นการเดินทางไปสู่วัยผู้ใหญ่
อย่างเศร้าใจที่สุด สําหรับเด็กๆ ในยูเครน ฤดูกาลเปิดเทอมครั้งนี้ เป็นเรื่องของการพยายาม อยู่รอด จากสงครามรุกรานของรัสเซีย รายงานประจําปีของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเด็กและความขัดแย้งกับการสู้รบ ได้บันทึก กรณีการละเมิดของกองกําลังรัสเซียหลายร้อยกรณี รวมถึงการสังหารและทําร้ายเด็ก อันเป็นผลมาจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ ระบบปืนกลหลายลํากล้อง และการโจมตีทางอากาศ นอกจากนี้ รายงานของสหประชาชาติยังระบุถึงการโจมตีโรงเรียนและโรงพยาบาลกว่า 480 ครั้ง ซึ่งเชื่อมโยงกับกองกําลังทหารและกลุ่มติดอาวุธที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย เด็กๆ ชาวยูเครนได้เห็นและประสบเหตุการณ์ที่จะตามพวกเขาไปตลอดชีวิต ทั้งเห็นญาติพี่น้องถูกสังหาร ถูกบังคับให้อพยพ หรือถูกทารุณกรรม รวมทั้งเห็นบ้านเรือนและชุมชนของตนถูกทําลาย
เรารู้ขอบเขตของการละเมิดเหล่านี้ได้อย่างไร? Conflict Observatory – โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสํานักงานความขัดแย้งและเสถียรภาพแห่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ในความร่วมมือกับ Esri, Smithsonian Cultural Rescue Initiative, Planetscape Ai และ Yale University’s Humanitarian Research Lab – ได้ให้หลักฐานอิสระในการบันทึกผลกระทบของสงครามรัสเซียต่อประชากรพลเรือนของยูเครน โดยเฉพาะเด็กๆ
หนึ่งในองค์ประกอบที่โหดร้ายที่สุดของสงครามโหดร้ายของรัสเซียต่อยูเครนคือ การบังคับให้เด็กยูเครนอพยพและถูกเนรเทศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 Conflict Observatory ได้ให้ ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ครอบคลุมที่สุด ว่ารัสเซียกําลังโยกย้ายเด็กยูเครนไปยังค่ายในพื้นที่ยึดครองของยูเครนหรือเนรเทศไปยังค่ายในรัสเซียอย่างเป็นระบบ รัสเซียยังนําเด็กๆ ไปให้ครอบครัวรัสเซียรับเป็นบุตรบุญธรรมหรืออุปการะ แบบแผนของการโยกย้ายและเนรเทศเหล่านี้น่าสยดสยอง ในบางกรณี ครอบครัวได้รับเสนอให้ส่งลูกไปเข้าค่ายฤดูร้อนฟรี แต่กลับถูกตัดขาดการติดต่อกับลูก ในกรณีอื่นๆ สถานดูแลเด็กถูกขนเด็กออกไป โดยไม่มีบันทึกใดๆ ว่าเด็กเหล่านั้นอยู่ที่ใด
ตามที่ Linda Thomas-Greenfield เอกอัครราชทูตสหรัฐประจําสหประชาชาติ แถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคง “เด็กถูกฉวยออกจากบ้านของพวกเขาอย่างแท้จริง” หลังอยู่ในการควบคุม