สหรัฐฯ ไม่เคยมีจํานวนผู้ป่วยซิฟิลิสสูงเท่านี้ตั้งแต่ปี 1950

(SeaPRwire) –   นิวยอร์ก — สถานการณ์ระบาดของซิฟิลิสในสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มว่าจะไม่ลดลง โดยอัตราผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 9% ในปี 2022 จากรายงานใหม่ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในผู้ใหญ่

แต่ก็มีข่าวดีที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น: อัตราผู้ป่วยหนองในใหม่ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ

เจ้าหน้าที่จาก U.S. Centers for Disease Control and Prevention กล่าวว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเหตุใดซิฟิลิสจึงเพิ่มขึ้น 9% ในขณะที่หนองในลดลง 9% โดยเสริมว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าแนวโน้มลดลงใหม่นี้จะเกิดขึ้นกับหนองในหรือไม่

พวกเขาให้ความสำคัญกับซิฟิลิสมากที่สุด ซึ่งพบได้น้อยกว่าหนองในหรือเชื้อ Chlamydia แต่ถือว่าอันตรายมากกว่า จากข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร จำนวนผู้ป่วยทั้งหมดสูงกว่า 207,000 รายในปี 2022 ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1950

เจ้าหน้าที่ CDC กล่าวว่าในขณะนี้ยังคงมีผลกระทบอย่างไม่สมส่วนต่อกลุ่มเกย์และชายรักร่วมเพศ แต่พบว่ากำลังแพร่ระบาดในชายและหญิงรักต่างเพศมากขึ้น

ซิฟิลิสเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจแสดงอาการเป็นแผลที่อวัยวะเพศที่ไม่เจ็บปวด แต่ในท้ายที่สุดอาจทำให้เป็นอัมพาต สูญเสียการได้ยิน ภาวะสมองเสื่อมหรือเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา

การติดเชื้อซิฟิลิสใหม่ในสหรัฐอเมริกาลดลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1940 เมื่อยาปฏิชีวนะแพร่หลายทั่วไป และลดลงต่ำที่สุดในปี 1998

จากจำนวน 2022 กรณี มีประมาณ 59,000 กรณีที่เกี่ยวข้องกับซิฟิลิสที่ติดต่อได้มากที่สุด ในจำนวนนี้ประมาณหนึ่งในสี่เป็นผู้หญิงและเกือบหนึ่งในสี่เป็นชายรักต่างเพศ

ดร. Philip Chan ผู้สอนที่ Brown University และเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของ Open Door Health ซึ่งเป็นศูนย์สุขภาพสำหรับผู้ป่วยเกย์ เลสเบี้ยน และผู้แปลงเพศในเมือง Providence รัฐ Rhode Island กล่าวว่า “ผมคิดว่ามีการแพร่กระจายในกลุ่มบุคคลรักต่างเพศโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากเราไม่ได้ตรวจหาโรคนี้จริงๆ เราไม่ได้มองหาโรคนี้จริงๆ” ในกลุ่มประชากรนั้น

รายงานยังแสดงให้เห็นว่าอัตราซิฟิลิสที่ติดต่อได้มากที่สุดเพิ่มสูงขึ้นไม่เพียงแค่ทั่วประเทศเท่านั้น แต่ยังเพิ่มขึ้นในกลุ่มเชื้อชาติและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ด้วย โดยชาวอเมริกันพื้นเมืองและชาวอะแลสกาพื้นเมืองมีอัตราสูงสุด South Dakota มีอัตราซิฟิลิสที่ติดต่อได้สูงที่สุดในบรรดารัฐอื่นๆ ที่ 84 รายต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งสูงกว่ารัฐที่มีอัตราสูงที่สุดเป็นอันดับสองอย่าง New Mexico มากกว่าสองเท่า

การเพิ่มขึ้นของ South Dakota นั้นเกิดจากการระบาดในชุมชนชาวอเมริกันพื้นเมือง ดร. Meghan O’Connell หัวหน้าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของคณะกรรมการสุขภาพของผู้นำเผ่า Great Plains ในเมือง Rapid City รัฐ South Dakota กล่าว ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดเป็นบุคคลรักต่างเพศ และ O’Connell กล่าวว่าการตรวจหาและรักษาโรค STD นั้นมีจำกัดอยู่แล้วในชุมชนเผ่าที่ห่างไกลและแย่ลงในช่วงการระบาดใหญ่

ปีที่แล้วกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐฯ จัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจด้านซิฟิลิสเพื่อมุ่งเน้นไปที่การหยุดยั้งการแพร่ระบาดของ STD โดยเน้นที่สถานที่มีอัตราซิฟิลิสสูงที่สุด ได้แก่ South Dakota รัฐอื่นๆ อีก 12 แห่งและ District of Columbia

รายงานยังดูโรค STD ทั่วไปมากขึ้นอย่างเชื้อ Chlamydia และหนองใน

จำนวนผู้ป่วยเชื้อ Chlamydia ค่อนข้างคงที่มาตั้งแต่ปี 2021 ถึงปี 2022 โดยอยู่ที่อัตราประมาณ 495 ต่อ 100,000 คน แม้ว่าจะมีการลดลงในผู้ชายและโดยเฉพาะผู้หญิงในวัย 20 ปีต้นๆ สำหรับหนองในนั้น พบว่ามีการลดลงมากที่สุดในผู้หญิงในวัย 20 ปีต้นๆ เช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุใดอัตราหนองในจึงลดลง เกิดขึ้นในประมาณ 40 รัฐ ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่อธิบายถึงการลดลงนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ การตรวจหา STD หยุดชะงักในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ครั้งโควิด-19 และเจ้าหน้าที่เชื่อว่านี่เป็นสาเหตุที่อัตราเชื้อ Chlamydia ลดลงในปี 2020

ดร. Jonathan Mermin ผู้อำนวยการศูนย์แห่งชาติของ CDC สำหรับการป้องกัน HIV ไวรัสตับอักเสบ โรค STD และวัณโรค กล่าวว่าเป็นไปได้ที่การตรวจหาและการวินิจฉัยกำลังเกิดขึ้นในปี 2022

Mermin กล่าวว่า “เราได้รับกำลังใจจากขนาดของการลดลง” แม้ว่าอัตราหนองในจะยังคงสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดโรคระบาด “เราต้องตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น และจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปหรือไม่”